ສົມເດັດພະສີພັດຊະຣິນທາບໍລົມລາຊິນີນາດ ພະບໍລົມລາຊະຊົນນະນີພັນປີຫຼວງ
ເຖິງແກ່ກຳ: ໒໐ ຕຸລາ 1919; Grand Palace
ປະເທດ: ປະເທດໄທ
ຂໍ້ມູນຢ່າງເປັນທາງການ
ຄອບຄົວ
ຄູ່ສົມລົດ: ພະບາດສົມເດັດພະຈຸລະຈອມເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ
ເດັກ: ພະບາດສົມເດັດພະມຸງກຸດເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ, ພະບາດສົມເດັດພະປົກເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ, Chakrabongse Bhuvanadh, Chudadhuj Dharadilok, Bahurada Manimaya, Tribejrutama Dhamrong, Asdang Dejavudh, Siriraj Kakudhabhand
ນາມສະກຸນ: ລາຊະວົງຈັກກີ
ພັນເອກຍິງ ສົມເດັດພະສີພັດຊະຣິນທາບໍຣົມຊິນີນາດ ພະບໍຣົມລາຊະຊົນນະນີພັນປີຫຼວງ ມີພະນາມເດີມວ່າ ພະອົງເຈົ້າເສົາວະພາຜ່ອງສີ( ໄທ: พันเอกหญิง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง), (ໄທ: พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี) ແມ່ນພະລາຊະທິດາໃນພະບາດສົມເດັດພະຈອມເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ ພະປະສູດແຕ່ສົມເດັດພະປິຍະມາວະດີ ສີພັດຊະຣິນມາຕາ (ເຈົ້າຈອມມານດາປ່ຽມ) ເມື່ອວັນທີ່ 1 ມັງກອນ ຄ.ສ.1861 ພະອົງຊົງເປັນພະເຈົ້າລູກເທີຊັ້ນໜ້ອຍ ໂດຍຮັບລາຊະການສະໜອງພະເດດພະຄຸນເປັນພະມະເຫສີໃນພະບາດສົມເດັດພະຈຸລະຈອມເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ ພ້ອມດ້ວຍພະເຊດພະຄິນີ (ເອື້ອຍ) ອີກ 2 ພະອົງ ໄດ້ແກ່ ພະອົງເຈົ້າສຸນັນທາກຸມາຣີຣັດ(ສົມເດັດພະນາງເຈົ້າສຸນັນທາກຸມາຣີຣັດ ພະບໍຣົມລາຊະເທວີ) ແລະພະອົງເຈົ້າສະຫວ່າງວັດທະນາ (ສົມເດັດພະສີສະວະຣິນທິຣາບໍຣົມລາຊະເທວີ ພະພັນວັດສາໄອຍິກາເຈົ້າ) ເມື່ອພະບາດສົມເດັດພະຈຸລະຈອມເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວສະເດັດປະພາດເອີລົບ ພະອົງຊົງດຳລົງຕຳແໜ່ງຜູ້ສຳເລັດລາຊະການແທນພະອົງ ແລະໄດ້ຮັບການສະຖາປະນາຂຶ້ນເປັນສົມເດັດພະບໍຣົມລາຊິນີນາດ ເຮັດໃຫ້ພະອົງຊົງເປັນປະຖົມບໍຣົມລາຊິນີຂອງປະເທດໄທ ມີຕຳແໜ່ງເປັນສົມເດັດພະອັກຄະລະມະເຫສີ ຊົງເປັນພະບໍຣົມລາຊະຊົນນີ (ແມ່) ໃນພະບາດສົມເດັດພະມຸງກຸດເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວແລະພະບາດສົມເດັດພະປົກເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ ນອກຈາກນີ້ຍັງຊົງດຳລົງຕຳແໜ່ງເປັນອົງສະພານາຍິກາ ສະພາກາຊາດໄທ ພະອົງທຳອິດອີກດ້ວຍ
ພະປະຫວັດ[ແກ້ໄຂ]
ພະເຈົ້າລູກເທີໃນລາຊະການທີ່ 4[ແກ້ໄຂ]
ສົມເດັດພະສີພັດຊະຣິນທາບໍຣົມລາຊິນີນາດ ພະບໍຣົມລາຊະຊົນນະນີພັນປີຫຼວງ ແມ່ນພະເຈົ້າລູກເທີພະອົງທີ່ 66 ໃນພະບາດສົມເດັດພະຈອມເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ ແລະເປັນລຳດັບທີ່ 4 ເຊິ່ງປະສູດແຕ່ເຈົ້າຈອມມານດາປ່ຽມ (ພາຍຫຼັງໄດ້ຮັບການສະຖາປະນາຂຶ້ນເປັນ ສົມເດັດພະປິຍະມາວະດີ ສີພັດຊະຣິນມາຕາ ຊົງພະລາຊະສົມພົບໃນພະບໍລົມມະຫາລາຊະວັງ ເມື່ອວັນສຸກ ເດືອນອ້າຍ ແຮມ 7 ຄ່ຳ ປີກຸນ ເບນຈະສົກ ຈ.ສ. 1225 ເຊິ່ງກົງກັບວັນທີ່ 1 ມັງກອນ ຄ.ສ. 1861 ພະອົງໄດ້ຮັບພະລາຊະທານພະນາມຈາກສົມເດັດພະບໍລົມລາຊະບິດາເມື່ອວັນອັງຄານ ເດືອນຍີ່ ແຮມ 10 ຄ່ຳ ໂດຍມີລາຍລະອຽດ ດັງນີ້[໑]
"ສຸພະມັດສະດຸ ສົມເດັດພະປໍຣະເມນມະຫາມຸງກຸດພະຈອມເກົ້າເຈົ້າກຸງສະຫຍາມຜູ້ພະບິດາ ຂໍຕັ້ງນາມບຸດຕີຍິງເຊິ່ງປະສູດແຕ່ປ່ຽມເປັນມານດາໃນວັນສຸກ ເດືອນອ້າຍ ແຮມ 7 ຄ່ຳ ປີກຸນ ເບນຈະສົກນັ້ນວ່າດັງນີ້ ພະເຈົ້າລູກເທີ ພະອົງເຈົ້າເສົາວະພາຜ່ອງສີ ວັກບໍລິວານນາມເດີມເປັນອາທິແລະອັນຕະອັກສອນ ຂໍພອນຄຸນພະລັດຕະນະໄຕແລະພອນເທວະດາຮັກສາພະນະຄອນແລະພະລາຊະວັງ ຈົງໄດ້ໂປດໃຫ້ຈະເລີນຊົນມາຍຸພັນສຸກຜົນປະຕິພານສານສິຣິສົມບັດສີສະຫວັດພິພັດມົງຄົນ ສຸພະຜົນພິບູນທຸກປະການ ເທີນ"
ນອກຈາກນີ້ ພະອົງຍັງໄດ້ຮັບພະລາຊະທານພອນເປັນພາສາມະຄົດຈາກພະບາດສົມເດັດພະຈອມເກົ້າເຈົ້າຢູ່ຫົວ ເຊິ່ງສົມເດັດພະມະຫາສະມະນະເຈົ້າ ກົມພະຍາວະຊິລະຍານວະໂລລົດໄດ້ຊົງພະນິພົນແປເປັນພາສາໄທໄວ້ວ່າ[໒]
"ຂໍທິດາຂອງເຮົາ ເຊິ່ງເປັນບຸດຕີອັນດີຂອງປ່ຽມຄົນນີ້ ຈົງປາກົດໂດຍນາມວ່າໂສພາສຸດທະສິຣິມຕີ (ເສົາວະພາຜ່ອງສີ) ເຖີດ ຂໍເຈົ້າຈົງມີຄວາມສຸກແລະບໍ່ມີໂຮກ ມີອິສະລິຍະຍົດປະເສີດສຸດປາດສະຈາກໂທດ ທີ່ຜູ້ໃດ ຢ່າຄຸມເຫງທຸກເມື່ອ ຈົງເປັນຄົນມັ່ງຄັ່ງ ມີຊັບໃຫຍ່ ມີໂພກສົມບັດຫຼາຍ ຖ້າຄົນເປັນອັນຫຼາຍນິຍົມນັບຖື ຂໍເຈົ້າຈົງຮັກສາກຽດຕິຍົດຂອງບິດາມານດາໄວ້ທຸກເມື່ອ ຈົງທຳນຸບຳລຸງພີ່ນ້ອງຊາຍຍິງອັນດີ ຂໍເປັນອານຸພາບພະລັດຕະນະໄຕມີພະພຸດທະເຈົ້າເປັນຕົ້ນຈົງຮັກສາເຈົ້າທຸກເມື່ອເທີນ"
ພະອົງມີພະເຊດຖາແລະພະຂະນິດຖາຮ່ວມພະມານດາທັງສິ້ນ 6 ພະອົງ ໄດ້ແກ່ ພະອົງເຈົ້າອຸນາກັນອະນັນຕະນໍລະໄຊ ພະອົງເຈົ້າເທວັນອຸໄທວົງ ພະອົງເຈົ້າສຸນັນທາກຸມາຣີຣັດ ພະອົງເຈົ້າສະຫວ່າງວັດທະນາ ພະອົງເຈົ້າເສົາວະພາຜ່ອງສີ ແລະ ພະອົງເຈົ້າສະຫວັດດິໂສພົນ
เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระปัญญาที่เฉียบแหลมมาก แต่ก็ทรงไม่เชื่อฟังมากเช่นเดียวกัน เช่น เวลาทรงพระอักษร ก็ทรงไม่ยอมทรงอ่านดัง ๆ พระอาจารย์อ่านถวายไปเท่าใด พระองค์ท่านก็ทอดพระเนตรตามไปเฉย ๆ พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในการศึกษาหมั่นซักถามแสวงหาความรู้ด้วยพระวิริยะอุตสาหะและทรงศึกษาวิชาการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วอันเป็นเครื่องแสดงถึงการที่ ทรงมีพระวิริยะพระปัญญา ปราดเปรื่องหลักแหลม[໓]
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานารถ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นรัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระฐานันดรศักดิ์ของพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี จึงเปลี่ยนเป็น พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี
สมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรก[ແກ້ໄຂ]
ແມ່ແບບ:พระอัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี เมื่อทรงเจริญพระชันษาขึ้น พระองค์ก็มีพระสิริโฉมงดงาม เป็นที่พอพระทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเข้ารับราชการเป็นพระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ 5 ขณะที่มีพระชนม์ 15 พรรษา โดยมีพระองค์เจ้าหญิง พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 4 ที่รับราชการเป็นพระภรรยาเจ้าในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับพระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี และพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา โดยครั้งแรกที่พระองค์ได้รับราชการเป็นพระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ 5 นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็น พระนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี และในปีถัดมาก็ได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชเทวี[໔]
พระภรรยาเจ้าทั้ง 4 พระองค์มีพระเกียรติยศเสมอกันทุกพระองค์ พระเกียรติยศที่จะเพิ่มพูนนั้นขึ้นอยู่กับการมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเป็นสำคัญ [໕] จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2423 เกิดเหตุการณ์สิ้นพระชนม์ของพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์โดยเรือพระประเทียบล่มระหว่างโดยเสด็จแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังบางปะอิน จึงทำให้เกิดปัญหาในการจะออกพระนามในประกาศทางราชการ ซึ่งนำมาสู่การจัดระเบียบภายในพระราชสำนักว่าด้วยตำแหน่งพระภรรยาเจ้าให้เป็นที่เรียบร้อย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระราชเทวี"[໖] ซึ่งถือเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีพระองค์แรก และ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ขึ้นเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีพระองค์ต่อไป เฉลิมพระนามาภิไธยว่า "สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระราชเทวี" โดยในวันงานพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ก็ได้มีประกาศยืนยันฐานะสมเด็จพระอัครมเหสีให้ปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้นโดยเพิ่มคำว่า “บรม” เข้าไปในคุณศัพท์ของคำว่าราชเทวีอีกหนึ่งคำ ดังนั้น พระนางเจ้าสว่างวัฒนาจึงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น "สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี" ซึ่งเป็นตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสี เนื่องจากพระองค์เป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สมเด็จพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 5 ส่วนพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรีนั้นได้รับการสถาปนาเป็น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี[໗] เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระอัครมเหสีลำดับที่สาม
ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสในพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์ต่อไป พร้อมทั้งสถาปนาพระอิสริยยศของพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอรรคราชเทวี[໘] ในฐานะเป็นพระชนนีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระองค์ใหม่ ซึ่งเป็นพระยศพระอัครมเหสีเช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรปในปี พ.ศ. 2440 เพื่อตรวจดูแบบแผนราชการแล้วนำมาเปรียบเทียบปรบปรุงการปกครองของราชอาณาจักรสยาม พร้อมกันนั้นก็เพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศในยุโรป พระองค์จึงทรงมอบหมายให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินได้เรียบร้อยเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก ด้วยพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถจรรยนุวัติปฏิบัติ ประกอบด้วยพระราชอัธยาศัยสภาพสมด้วยพระองค์เป็นขัติยนารีนาถ และกอปรด้วยพระกรุณภาพยังสรรพกิจทั้งหลายที่ได้พระราชทานปฏิบัติมาล้วนแต่เป็นเกียรติคุณแก่ประเทศสยามทั่วไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระนามาภิไธย จาก สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี เป็น "สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ"[໙] เป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกในประเทศไทย[໑໐]
ส่วนคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ประกอบไปด้วย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนตรัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศวโรปการ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ และเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ (โรลังยัคมินส์) โดยมีพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม เป็นราชเลขานุการ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
สมเด็จพระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ 6[ແກ້ໄຂ]
[[ไฟล์:Queen Saovabha Phongsri and their children.jpg|thumbnail|left|300px|สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงฉายร่วมกับพระโอรสและพระราชนัดดา ในปีพ.ศ. 2453
แถวยืนจากซ้าย สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
แถวนั่งจากซ้าย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์, พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงพระราชดำริว่า พระราชประเพณีได้เคยมีมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกใหม่ ได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศแลเฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระพันปีหลวงฉลองพระเดชพระคุณเป็นปฐม เพื่อเป็นศุภมงคลและราชสมบัติ พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสสั่งให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า "สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี"[໑໑] บางครั้งออกพระนามว่า "สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง"[໑໒] และทูลเชิญพระองค์เสด็จมาประทับที่พระราชวังพญาไท ซึ่งพระองค์ก็เสด็จประทับที่พระราชวังแห่งนี้จนกระทั่งสวรรคต
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา 14 พระองค์ ซึ่งต้องมีพระราชภาระในการเลี้ยงดู ซึ่งพระราชโอรส 2 พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน อีกทั้งพระราชโอรสองค์อื่น ๆ ก็ได้เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท นำพาความเจริญสู่ชาติบ้านเมืองเป็นอันมาก อาทิ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งนับว่าพระองค์เป็นพระบิดาผู้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนเสนาธิการทหารบก[໑໓]
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตนั้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ก็ทรงทุกข์ระทมในพระราชหฤทัย ทำให้พระองค์ทรงประชวรและปฏิบัติพระราชกรณียกิจไม่ได้มากหลังจากนั้น[໑໔] พระองค์ต้องประทับอยู่แต่ที่พระราชวังพญาไท ไม่ให้ผู้ใดรบกวน ห้ามไม่ให้รถยนต์ รถม้าถนนใกล้ขับเคลื่อนเสียงดังโดยเด็ดขาด เหตุที่ห้ามก็เพราะว่า พระองค์จะทรงบรรทมหลับในเวลากลางวัน แม้แต่เสียงนกร้อง ก็ต้องมีข้าราชบริพารในวังเอาไม้ส่องไปเป่าไล่ เพื่อไม่ให้ส่งเสียงรบกวนพระองค์ นายแพทย์สมิธ ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอังกฤษที่มีหน้าที่ถวายการรักษาพระอาการของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เขียนไว้ในหนังสือ "A physician at the court of Siam" ว่า
"พระนางตื่นบรรทมระหว่างหกโมงถึงสองทุ่ม เมื่อทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เสร็จแล้วเจ้าพนักงานก็จะโทรศัพท์มาตามหมอสมิธที่บ้าน เพื่อให้มาตรวจพระอาการ ถ้ามีอาการประชวรก็จะจัดยาให้ แต่ถ้าไม่มีอาการประชวร พระนางก็ทรงโปรดสนทนาเกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ทรงมีความรู้อย่างดีเลิศเกี่ยวกับพระราชวงศ์ในมหาประเทศต่าง ๆ ในด้านตะวันตกของโลก ไม่ทรงโปรดอ่านหนังสือเอง แต่จะให้ข้าราชบริพารอ่านให้ฟังเสมอ ก่อนบรรทม จะต้องมีคนอ่านวรรณคดีหรือหนังสือพิมพ์ถวาย"[໑໕]
สวรรคต[ແກ້ໄຂ]
[[ไฟล์:พระเมรุมาศ พระพันปี.jpg|thumb|พระเมรุมาศสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ]] สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ทรงพระประชวรเรื้อรัง มีพระอาการไข้ รวมทั้งมีพระอาการพิษขึ้นในพระอันตะ (ลำไส้ใหญ่) และการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตนั้น ได้นำความวิปโยคแสนสาหัส ที่กระทบกระเทือนพระราชหฤทัย[໑໖]และการที่พระองค์ประทับอยู่แต่ประแท่นบรรทม ทรงไม่ออกกำลังพระวรกาย ทำให้มีน้ำหนักพระองค์มาก จึงทำให้กระดูกเปราะ จะเสด็จไปที่ใดก็ลำบากและพระองค์ทรงพระประชวรอยู่เนือง ๆ มีพระโรคาพาธมาประจำพระองค์คือ พระวักกะอักเสบเรื้อรัง ซึ่งแพทย์หลวง ได้ถวายการรักษาอย่างดีตลอดมา แต่พระอาการไม่ดีขึ้นได้ นายแพทย์สมิธ นายแพทย์ประจำพระองค์ เล่าว่า
"คืนหนึ่งพระนางป่วยหนัก มีอาการอาเจียรทั้งคืน พอตีสองพระนางสิ้นสติปลุกไม่ตื่น มีอาการไข้ขึ้นสูงไม่ได้สติ แต่พระวรกายยังอาเจียร เปรียบเสมือนคนหลับแต่ยังอาเจียรตลอด"
นายแพทย์สมิธระบุว่าเป็นเพราะพระยกนะ (ตับ) วายหรือพระยกนะเสีย ทุกฝ่ายทั้งแพทย์ และข้าราชบริพารช่วยกันเต็มที่ ที่จะรักษาพระองค์ แต่ในเวลา แปดนาฬิกาตอนเช้าวันต่อมา ก็เสด็จสวรรคต มีบันทึกว่า สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถได้ทรงอยู่ดูแลพระมารดาทั้งคืนจนรุ่งเช้า เมื่อข่าวการประชวรหนักของพระองค์ พระโอรส พระประยูรญาติและ ข้าราชบริพารต่างก็มาเฝ้าดูแลพระอาการด้วยความห่วงใย โอรสพระองค์เดียวที่ไม่ได้เสด็จมาเลยก็คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[໑໗]
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีทรงประชวรไข้พระวรกาย ทนพิษไม่ได้ จึงเสด็จสวรรคตวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462 พระชนมายุ 55 พรรษา ณ พระตำหนักพระราชวังพญาไท
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์สรงน้ำพระบรมศพ และโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระโกศพระบรมศพประกอบพระลองทองใหญ่ขึ้นประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มุขตะวันตก ภายในพระบรมมหาราชวัง เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมราชชนนี[໑໘]และทรงโปรดให้มีการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2463 และได้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารมาประดิษฐาน ณ วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ภายในพระอุโบสถ[໑໙]
พระราชบุตร[ແກ້ໄຂ]
[[ไฟล์:Vajiravudh and Saovabha.jpg|thumb|333px| (จากซ้าย) กรมหลวงนครราชสีมา กรมขุนเทพทวาราวดี กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา และ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย]] พระองค์มีพระราชโอรสพระราชธิดาทั้งสิ้น 14 พระองค์ โดยเป็นพระราชโอรส 7 พระองค์ พระราชธิดา 2 พระองค์ และตกเสีย 5 พระองค์ โดย
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์ (พ.ศ. 2421-2430)
- ตกเสียเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2422[໒໐]
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2423-2468) อภิเษกสมรสกับประไพ สุจริตกุล, เปรื่อง สุจริตกุล, หม่อมเจ้าวรรณพิมล วรวรรณ และเครือแก้ว อภัยวงศ์ มีพระราชธิดาหนึ่งพระองค์
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพชรุตม์ธำรง (พ.ศ. 2424-2430)
- จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (พ.ศ. 2425-2463) อภิเษกสมรสกับหม่อมคัทริน ณ พิศณุโลก และหม่อมเจ้าชวลิตโอภาส รพีพัฒน์ มีพระโอรสหนึ่งพระองค์
- ตกเสียเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2426[໒໐]
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ (พ.ศ. 2428-2430)
- ตกเสียเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2429[໒໐]
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าหญิง (ประสูติเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2430 แต่สิ้นพระชนม์ในวันประสูติ) [໒໐]
- พลเรือเอก สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (พ.ศ. 2432-2467) อภิเษกสมรสกับหม่อมแผ้ว นครราชสีมา ไม่มีพระบุตร
- ตกเสียเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2433[໒໐]
- ตกเสียเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2435[໒໐]
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย (พ.ศ. 2435-2466) อภิเษกสมรสกับหม่อมละออ จุฑาธุช ณ อยุธยา, หม่อมระวี จุฑาธุช ณ อยุธยา และหม่อมเจ้าบุญจิราธร จุฑาธุช มีพระโอรสหนึ่งพระองค์และพระธิดาหนึ่งพระองค์
- พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2436-2484) อภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ ไม่มีพระราชบุตร
พระราชจริยวัตร[ແກ້ໄຂ]
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชหฤทัยตั้งมั่นอยู่ในราชจริยธรรม[໒໑] จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยและทรงเมตตากรุณาอย่างที่สุด[໒໒] ซึ่งสามารถจำแนกพระราชจริยวัตร โดยสังเขปดังนี้ [[ไฟล์:King Chulalongkorn and Queen Saovabha.jpg|thumbnail|220px|left|สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]
- ทรงเคียงคู่พระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากการที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงได้รับการสถาปนาไว้ในตำแหน่งพระมเหสีตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และการที่พระองค์ทรงรู้พระทัยพระราชสวามี โดยได้ทรงถวายงาน และรับใช้ใกล้ชิดเสมอ จึงเป็นที่ทรงโปรดปราน โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่วิกฤตต่าง ๆ พระองค์ก็ทรงแบ่งเบา พระราชภาระและทรงกอบกู้สถานการณ์ได้เสมอ อาทิ ในห้วงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความทุกข์ในพระราชหฤทัยอย่างแสนสาหัส โดยทรงเก็บพระองค์แต่ในที่ซึ่งมิมีผู้ใดกล้าเข้าเฝ้าในห้วงที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี สิ้นพระชนม์ด้วยเหตุเรือพระที่นั่งล่มในแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะเสด็จสู่พระราชวังบางปะอิน เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 นั้น พระองค์ก็ทรงเอาพระทัยใส่ และทรงเข้าเฝ้าด้วยพระอุตสาหะ จนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคลายระทมทุกข์[໒໐] ทรงพระเกษมสำราญ สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ในที่สุด หรือในห้วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประชวรหนักใกล้สวรรคต พระองค์ก็ทรงเฝ้าถวายการดูแล เป็นแม่กองควบคุมการถวายพยาบาล มิได้ห่าง[໒໓] จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคาลัย
- ทรงปกครองข้าราชบริพารฝ่ายใน
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงให้เกียรติพระเชษฐภคินีโดยมิเคยเสด็จพระราชดำเนินนำหน้า และทรงหมอบถวายบังคมสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อเสด็จออกท่ามกลางพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน ด้วยความเคารพเสมอ[໒໔]
พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยกว้างโดย มิเคยรังเกียจข้าบาทบริจาริกาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงสบายพระราชหฤทัยในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งพระตำหนักที่พระองค์ประทับนั้นกล่าวกันว่าเป็นที่ที่มีความสนุกสนานครื้นเครงที่สุดในวังหลวง ข้าหลวงพนักงานก็มีการทำงาน ฝีมือกันมาก โดยมีข้าบาทบริจาริกาที่สังกัดในพระตำหนักของพระองค์นี้ประกอบด้วย เจ้าจอมมารดาชุ่ม เจ้าจอมมารดาเลื่อน เจ้าจอมมารดาแส เจ้าจอมอ้น และเจ้าจอมศรีพรหม ด้วยน้ำพระทัยที่เมตตานี้ จึงมีผู้เข้าถวายตัวและถวาย ลูกหลานอยู่ในพระราชสำนักจำนวนมากหลายรุ่น[໒໕]
- ทรงเป็นผู้นำสตรีไทยในยุคแรกแห่งการพัฒนาแบบสากล
thumbnail|220px|สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นครูผู้บำเพ็ญวิทยาทานต่อเหล่าพระประยูรญาติราชนัดดาเชื้อพระวงศ์และเยาวกุมารีทั้งหลาย ทรงสนพระราชหฤทัยในงานพัฒนาสตรี ซึ่งในห้วงดังกล่าว มีโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงเพียงแห่งเดียว คือโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง[໒໖] ก่อตั้งโดยคณะผู้สอนคริสต์ศาสนาจากสหรัฐอเมริกา
พระองค์ทรงสนพระทัยงานทางศิลปะ งานคหกรรมศาสตร์[໒໗] ด้านต่าง ๆ อาทิ งานเย็บปัก ถักร้อย งานดอกไม้ งานปรุงเครื่องร่ำน้ำหอม งานแกะสลักผลไม้ งานปักสะดึงตลอดจนวรรณคดี ทั้งยังโปรดศิลปะทางดนตรี นาฏศิลป์[໒໘] และทรงดูแลการจัดสร้างพร้อมทั้งทรงรับพระราชภาระในงาน พิธีเฉลิมฉลอง พระตำหนักสวนสี่ฤดู พระราชวังดุสิต และพระที่นั่งวิมานเมฆ
ในส่วนของพระภูษาทรงนั้นทรงโปรดชุดไทยเดิม เมื่อมิได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ โดยทรงโปรดสีที่ไม่ฉูดฉาด เครื่องประดับ ก็มิทรงโปรดประดับเกินงาม ซึ่งพระองค์ทรงดัดแปลงผสมผสานรูปแบบตะวันตก ให้เกิดความงดงามพอดี และเข้ากับสมัย ซึ่งทำให้บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และกุลสตรีชาววังดำเนินรอยตามพระราชนิยม อันก่อให้เกิดความกลมกลืน ทั้งแบบไทยและสากล นับว่าพระองค์ทรงเป็น “ผู้นำศิลปะการแต่งกายของสตรีไทย ในยุคที่ก้าวสู่ความทัดเทียมอารยประเทศ” อย่างแท้จริง[໒໙]
พระราชกรณียกิจ[ແກ້ໄຂ]
การศึกษา[ແກ້ໄຂ]
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสนพระทัยในการพัฒนาสตรีและทรงมีพระราชดำริว่าความรุ่งเรืองของบ้านเมืองย่อมอาศัยการศึกษาเล่าเรียนที่ดี ดังนั้นในปี พ.ศ. 2444 จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงแห่งที่สองขึ้นในกรุงเทพมหานคร ทรงพระราชทานชื่อว่า “โรงเรียนสตรีบำรุงวิชา” และในปี พ.ศ. 2447 ทรงเปิดโรงเรียนสำหรับกุลธิดาของข้าราชสำนักและบุคคลชั้นสูงคือ “โรงเรียนสุนันทาลัย” ให้การอบรมด้านการบ้านการเรือน กิริยามารยาท และวิชาการต่าง ๆ อีกทั้งทรงจ่ายเงินเดือนครู และค่า ใช้สอยต่าง ๆ สำหรับเป็นค่าเล่าเรียนแก่กุลบุตรกุลธิดาของข้าราชการใหญ่น้อยและราษฎรอีก เป็นจำนวนมาก ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ตั้งโรงเรียน และจ่ายเงินเดือนครูในโรงเรียนต่าง ๆ [໓໐] เช่น thumbnail|left|350px|อาคารโรงเรียนราชินีบูรณะในอดีต
- โรงเรียนราชินี
- โรงเรียนราชินีบน
- โรงเรียนทวีธาภิเศก
- โรงเรียนเสาวภา ปัจจุบันคือ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา
- โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล ปัจจุบัน คือ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- โรงเรียนวิเชียรมาตุ และ โรงเรียนสภาราชินี (จังหวัดตรัง)
- โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
- โรงเรียนราชินีบูรณะ (จังหวัดนครปฐม)
- โรงเรียนศรียานุสรณ์ (จังหวัดจันทบุรี)
- โรงเรียนสตรีราชินูทิศ (จังหวัดอุดรธานี)
- โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร เสด็จมาทรงควบคุมการก่อสร้างแทนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ศาสนา[ແກ້ໄຂ]
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภิกาในบวรพุทธศาสนา โดยบำเพ็ญพระราชกุศลมิได้ขาดทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างเจดีย์วัตถุ พระพุทธรูป พระธรรมคัมภีร์ เช่น พระไตรปิฎกสยามรัฐในรัชกาลที่ห้า ทรงสร้างพระวิหารสมเด็จที่วัดเบญจมบพิตร และปฏิสังขรณ์พระอารามต่าง ๆ ทั้งในพระนครและหัวเมืองต่าง ๆ [໒໓] แม้พระพุทธเจดียฐาน นอกพระราชอาณาจักรก็ได้ทรงปฏิสังขรณ์ด้วยกัน
โดยนอกจากการบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นพิเศษตามพระราชจารีตประเพณีที่จัดขึ้น อาทิ วันประสูติ พระราชพิธีโสกัณฑ์ และ วันสำคัญอื่น ๆ แล้ว ยังได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ถวายเป็นกิจวัตรแด่พระภิกษุสงฆ์และสามเณร พร้อมทั้งพระราชทานค่าน้ำประปา ค่าชำระปัดกวาด รักษาพระอาราม และการทำนุบำรุงซ่อมแซม ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด[໒໐]
การเสด็จประพาสทั้งภายในและต่างประเทศ[ແກ້ໄຂ]
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มักตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองชนบทในพระราชอาณาจักรเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรในชนบท และเสด็จประพาสต่างประเทศเสมอ ๆ [໓໑] ซึ่ง บางคราวต้องเสด็จพระราชดำเนินรอนแรมไปในถิ่นทุรกันดาร การคมนาคมไม่สะดวกเช่นในปัจจุบัน โดยต้องเสด็จผ่านบ้านป่า บางคราว ต้องทรงช้าง ทรงม้าหรือประทับเกวียนเป็น พระราชพาหนะ ซึ่งพระองค์มิได้ทรงหวาดหวั่น[໓໒] ตามเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินดังกล่าวนั้น ประชาราษฎรจะมาเฝ้ารับเสด็จ และเมื่อพระองค์ทรงพบเห็นก็ทรงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับราษฎร ตลอดจนที่แห่งใดที่ถนนหนทาง สะพานหรือที่สาธารณะอื่น ๆ ชำรุดทรุดโทรม ก็ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์ทะนุบำรุงซ่อมสร้างให้ดีขึ้น ส่วนตำบลใดขาดน้ำบริโภคใช้สอย ก็โปรดเกล้าฯ ให้ขุดบ่อน้ำสาธารณะ และปีใดที่มีอากาศหนาวก็ทรงพระราชทานผ้าห่มกันหนาว รวมทั้งตำบลใดที่ขาดแคลนหมอและยารักษาโรคก็จะโปรดเกล้าพระราชทานพระราชทรัพย์ ให้ข้าราชบริพารจัดซื้อมาแจกจ่าย
ในการเสด็จประพาสนอกพระราชอาณาจักรนั้น พระองค์ก็ทรงตามเสด็จด้วยในบางครั้ง เช่น การเสด็จประพาสเมืองสิงค์โปร์ ชวา และมลายู [໓໓]
การแพทย์และพยาบาล[ແກ້ໄຂ]
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีความห่วงใยความเจ็บไข้ได้ป่วยของราษฎรและทหารเป็นอย่างยิ่ง โดยทรงสนับสนุนการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราชซึ่งนับว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ตั้งโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ขึ้นในโรงพยาบาลแห่งนี้สำหรับเป็นสถานศึกษาวิชาพยาบาลและผดุงครรภ์ของสตรี ทั้งยังทรงจ่ายเงินเดือนแพทย์ มิชชั่นนารี ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ตลอดจนค่าอาหารของนักเรียน และพระราชทานเงินให้แก่หญิงอนาถา[໓໔] ที่มาคลอดบุตรในโรงพยาบาลศิริราชเพื่อเป็นค่าใช้สอยทุกคน
พระองค์ทรงเป็นผู้นำชักชวนสตรีไทย ให้เลิกการคลอดบุตรในลักษณะที่ต้องอยู่ไฟมาใช้วิธีการพยาบาลแบบสากล ที่สุขสบายและได้ผลดีกว่า นอกจากนี้พระองค์ยังมีพระราชดำริจัดตั้งสภาอุณาโลมแดงและได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2436 เพื่อเป็นศูนย์กลางบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ซึ่งต่อมาภายหลังที่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส เรื่องเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อ พ.ศ. 2436 อันนำมาซึ่งการบาดเจ็บให้กับทหารและราษฎรจำนวนมาก สภาอุณาโลมแดง ได้เป็นศูนย์กลางในการบรรเทาทุกข์ลงอย่างมาก หลังจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว สภาอุณาโลมแดง จึงใช้ชื่อว่า สภากาชาดสยาม ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทยในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรแรกในประเทศไทย[໓໕] ทั้งนี้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) เป็นสภาชนนี และพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกา ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสืบต่อมารวมเวลาถึง 26 ปี[໓໖] อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ แก่โรงพยาบาลหลายแห่งทั้งใน กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด
การทหาร[ແກ້ໄຂ]
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงโปรดการขี่ม้าและโปรดการทหาร โดยมักจะเสด็จไปทอดพระเนตรการซ้อมรบหรือที่เรียกว่า “การประลองยุทธ” ในต่างจังหวัดเกือบทุกปี บางครั้งประทับร่วมเสวยพระกระยาหาร ในเต้นท์ผู้บัญชาการรบท่ามกลางแม่ทัพนายกอง และเคยมีพระราชดำรัสในเวลาการชุมพลทหารครั้งใหญ่ ตอนหนึ่งว่า “ถึงแม้ฉันเป็นหญิงก็จริง แต่ก็มีใจเหมือนท่านทั้งหลายซึ่งเต็มไปด้วยความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ในเวลาหนึ่งเวลาใดก็ดี ฉันตั้งใจที่จะ ช่วยเหลือผู้เป็นนักรบอยู่เสมอไม่ถอยเลย”[໓໗] พระองค์มีพระราชหฤทัยห่วงใยในความทุกข์สุขของทหาร โดยพระราชทานเครื่องอุปโภค บริโภคแก่เหล่าทหาร หรือเมื่อทหารประสบอุปัทวเหตุ เจ็บป่วย ก็จะทรงส่งแพทย์หลวงไปรักษา[໓໘]
ในปี พ.ศ. 2454 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟ สายกรุงเทพมหานครถึงจังหวัดนครราชสีมา และได้เข้าไปในค่ายทหาร ทรงเปิดสโมสรนายทหาร และทรงพระราชทานนามว่า "สโมสรร่วมเริงไชย"[໓໙] และทอดพระเนตรการแสดง ของหน่วยทหารต่าง ๆ ในค่ายบริเวณหนองบัว โดยกรมทหารม้าที่ 5 ได้ทำการแสดงบนหลังม้า และทำการแปรขบวน กองร้อย ทหารม้าทั้งกองร้อย โดยได้ควบม้าฮ่อเข้ามาหยุดแสดง ความเคารพต่อหน้าที่ประทับ เป็นที่พอพระราชหฤทัย ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทูลขอ หน่วยทหารม้าหน่วยนี้ เป็นหน่วยรักษาพระองค์ แต่พระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมิได้ทรงพระราชทาน เนื่องจากยังไม่เคยมีในพระราชประเพณีมาก่อน ครั้นต่อมา ในปีพ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงถวายตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษกรมทหารม้าที่ 5 (ปัจจุบัน ได้แปรสภาพหน่วยเป็น กองพันทหารม้าที่ 6) แด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ตามคำสั่งกลาโหม ที่ 373/26471 ลงวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2545 เรื่อง ถวายตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ[໔໐] ความว่า
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณารับตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 10 กรมทหารราบที่ 7 กรมทหารราบที่ 8 กรมทหารราบที่ 9 ทรงถวายตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารม้าที่ 5 แด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระราชทานตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารม้าที่ 2 แด่สมเด็จพระนางเจ้าน้องนางเจ้าฟ้ากรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินทร ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่กรมนั้นและกองพลซึ่งกรมนั้นสังกัดอยู่ เพราะฉะนั้นให้เจ้าหน้าที่จ่าย อักษรพระนามาภิไธยย่อ ว.ป.ร. ให้แก่ทหารในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 10 กรมทหารราบที่ 7 กรมทหารราบที่ 8 กรมทหารราบที่ 9 ติดบ่ายศตามระเบียบ"
อนึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารม้าที่ 5 ติดพระนามาภิไธยย่อ ส.ผ. ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เพราะฉะนั้นให้เจ้าหน้าที่จัดทำและจ่ายให้ กรมทหารม้าที่ 5 จึงได้รับโปรดเกล้าให้ติดอักษรพระนามาภิไธยย่อ ส.ผ. ซึ่งเป็นอักษรย่อขององค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี กลางอินทรธนูทั้งสองข้าง (ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนมาประดับที่หน้าอกเบื้องขวาในปัจจุบัน) และในปี พ.ศ. 2456 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงพระยศนายพันเอก[໔໑] และได้พระราชทานเงินจำนวน 44,000 บาท เพื่อสร้างโรงม้าขึ้น ในกรมทหารม้าที่ 5 ต่อมากระทรวงกลาโหม ได้ส่งนายดาบจัน เลิศพยาบาล ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ ที่สำเร็จการศึกษาจากยุโรปมาประจำหมวดสัตวแพทย์ จึงนับว่าได้เริ่มมีการใช้ยารักษาม้าแบบแผนปัจจุบันเป็นครั้งแรก[໔໒]
การเกษตร[ແກ້ໄຂ]
thumbnail|left|300px|สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงดำนาที่ทุ่งพญาไท
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสนพระทัยและทรงโปรดด้านการเกษตร[໒໐] ทรงโปรดให้เลี้ยงไก่พันธุ์ ธัญพืช ไม้ดอก ไม้ประดับในบริเวณที่ประทับ
และสำหรับการปลูกข้าวนั้น พระองค์ทรงโปรดเป็นพิเศษ ถึงกับทรงทำด้วยพระองค์เองที่นาหลวงทุ่งพญาไท[໒໓] ซึ่งพระองค์มักจะนำพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปทรงดำนาเพื่อเป็นการประเดิมชัยในฤดูการทำนา
ความสนพระทัยของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เกี่ยวกับการทำนา คือในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงสนพระทัยในเรื่องการทำนา ได้ทรงทำนาที่ทุ่งพญาไทซึ่งจัดเป็นนาหลวง มีเรื่องปรากฏในพระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 5 ที่พระราชทานเจ้าดารารัศมี ในตอนหนึ่งมีความว่า "กำลังคิดทำนาที่ปลายถนนซังฮี้ในทุ่ง ได้ลงมือซื้อควายเสร็จแล้ว"[໔໓]
และในฉบับลงวันที่ 11 สิงหาคม ร.ศ. 128 มีความว่า "บางกอกเวลานี้ฝนชุกเกือบจะไม่เว้นวัน เรื่องสนุกของชาววังนั้นคือ กำลังคลั่งทำนา ตั้งแต่แม่เล็ก เป็นต้นลงดำเอง เลี้ยงดูกันเป็นหลายวัน ข้อที่เกลียดโคลนเลนนั้นหายหมด ทำได้คล่องแคล่ว ที่โรงนาเป็นที่สบาย องค์อัจฉรและนางชุ่มผลัดกันไปอยู่ที่นั้น พื้นสบายดีขึ้นที่งสองคน องค์อัจฉรถึงเดินได้ไกล ๆ เจ้านายที่เจ็บไข้ออดแอดต่างคนต่างสบายขึ้น เห็นจะเป็นด้วยได้เดินได้ยืนมากนั้นเอง"[໔໔] (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียกสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงว่า "แม่เล็ก") [໖]
ด้านสาธารณประโยชน์[ແກ້ໄຂ]
thumbnail|280px|พระนางธรณีบีบมวยผมที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงโปรดให้สร้างขึ้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้ทรงมีพระราชดำริทรงสร้างสะพานเสาวนีย์ ซึ่งเป็นสะพานข้ามคลองริมทางรถไฟสายเหนือเชื่อมถนนศรีอยุธยาให้ติดต่อกันตลอด เมื่อคราวเฉลิมพระชนมพรรษา 48 พรรษา พ.ศ. 2454 กรมโยธาธิการได้ออกแบบและสร้างถวายตามพระราชเสาวนีย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2460 พระองค์ได้บริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดให้สร้างรูปพระนางธรณีบีบมวยผม ประทานให้เป็นสาธารณสมบัติให้ประชาชนได้ใช้น้ำสะอาดบริโภค โดยน้ำจะไหลจากมวยผมพระแม่ธรณี ลงหม้อน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันพระแม่ธรณีบีบม้วยผม นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของประชาชน ซึ่งรูปพระนางธรณีบีบมวยผมนี้ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนนใกล้สะพานผ่านพิภพลีลากับที่โรงพยาบาลปัญจมาธิราชอุทิศ ที่พระนครศรีอยุธยา และบ่อน้ำที่หัวหิน[໓]
ในปี พ.ศ. 2445 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟ สายกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร[ແກ້ໄຂ]
thumb|light|100px|พระพุทธรูปประจำพระชนมวารสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สร้างปี พ.ศ. 2438 หล่อด้วยสัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง องค์พระสูง 21.35 เซนติเมตร ปัจจุบันอัญเชิญพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีคู่กับพระโกศพระอัฐิ ในงานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน และการพระราชพิธีสงกรานต์ เป็นต้น เป็นพระพุทธรูปปางรำพึง ซึ่งเป็นปางประจำวันศุกร์
พระราชานุสรณ์[ແກ້ໄຂ]
พระราชานุสาวรีย์[ແກ້ໄຂ]
หลังจากที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเสด็จสวรรคตแล้วนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระราชานุสาวรีย์ขึ้นหลายแห่ง เพื่อเป็นที่ระลึกถึงสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ โดยแต่ละแห่งนั้น เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเคยเสด็จไปประทับ หรือเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ในการก่อสร้างขึ้น[໔໕] ซึ่งพระราชานุสาวรีย์บางแห่งก็ได้จัดสร้างขึ้นภายหลังสมัยรัชกาลที่ 6 พระราชานุสาวรีย์ที่สำคัญได้แก่
- พระราชินยานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ณ โรงเรียนราชินี เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหาร ครูอาจารย์ ศิษย์เก่า ผู้ปกครอง ร่วมสมทบทุนสร้างพระราชานุสาวรีย์ โดยได้นับพระราชทานเงินสมทบบางส่วนจาก สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทั้งได้เสด็จมาทรงสักการะพระราชินยานุสาวรีย์เป็นพระองค์แรก ในปัจจุบันนักเรียนราชินีจะมีธรรมเนียมถวายบังคมสักการะพระราชินยานุสาวรีย์ทุกวัน
- พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ณ โรงเรียนวิเชียรมาตุ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง สร้างขึ้นตรงกับวันสถาปนาโรงเรียนครบ 90 ปี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2549 โดยพลอากาศเอกกำธน สินธวานนท์ องคมนตรี เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ และเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จทรงเปิดพระราชานุสาวรีย์ พระราชานุสาวรีย์แห่งนี้เป็นที่เคารพมากของชาวจังหวัดตรัง โดยนักเรียนโรงเรียนวิเชียรมาตุ และชาวจังหวัดตรัง จะเรียกพระองค์ว่า "แม่แก้ว"[໔໖]
- พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ณ ค่ายศรีพัชรินทร ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 เพื่อเป็นที่สักการะและเป็นศูนย์รวมที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของเหล่าทหาร และครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไป อีกทั้งเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ. 2550 [໔໗]
- พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ณ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555 โดยมีนายแก่นเพชร ช่วงรังษี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีเป็นประธานในพิธีอัญเชิญพระรูปสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขึ้นประดิษฐาน ณ พระราชานุสาวรีย์ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ[໔໘]
โรงเรียนวิเชียรมาตุ[ແກ້ໄຂ]
โรงเรียนวิเชียรมาตุถือกำเนิดขึ้นจากพระราชประสงค์ ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
จากสมุดหมายเหตุรายวันเล่มแรกของโรงเรียน ถูกบันทึกไว้เป็นความสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2455 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จประพาสจังหวัดตรัง ประทับพักผ่อนสำราญพระราชอิริยาบถ ณ ตำหนักผ่อนกาย ทรงปรารภว่า พื้นภูมิทำเลตำบลทับเที่ยงนี้เหมาะสมดี ควรมีสถานศึกษาไว้เพาะปลูกปัญญาแก่กุลบุตรกุลธิดาสืบไป[໔໙] จึงได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์เป็นเงิน 4,000 บาท ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง สร้างโรงเรียนขึ้น และพระราชทานนามให้ว่า "โรงเรียนวิเชียรมาตุ" ซึ่งหมายความถึง "พระราชชนนีของพระปรเมนทรมหาวชิราวุธพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว"[໔໖]
โรงเรียนราชินีบูรณะ[ແກ້ໄຂ]
thumbnail|350|มุมมองหนึ่งของตึกศรีพัชรินทร์และพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถในปัจจุบัน โรงเรียนราชินีบูรณะก่อตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2457 โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า "สตรีวิทยา"[໕໐] จากนั้นในปี พ.ศ. 2460 โรงเรียนได้ถูกเพลิงไหม้ จึงได้ให้คุณหญิงทองอยู่ สุนทราชุน เข้ารับพระราชทานทรัพย์ พร้อมที่ดินจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง มาสร้างโรงเรียนรวมถึงอาคารเรียนตามแปลนของกระทรวงธรรมการในสมัยนั้น และจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2462 โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร เสด็จแทนพระองค์ และพระราชทานนามโรงเรียนแห่งนี้ว่า "โรงเรียนราชินีบูรณะ" นับแต่นั้นเป็นต้นมา[໕໑]
วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา[ແກ້ໄຂ]
วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา เดิมคือ "โรงเรียนเสาวภา"[໕໒] จัดตั้งขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง (พระนามเดิม พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี) ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ตั้งโรงเรียนสำหรับสตรี และพระราชทานพระนามาภิไธยของพระองค์เป็นชื่อโรงเรียน ต่อมา เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2523 กระทรวงศึกษาธิการ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา”[໕໓]
เหรียญที่ระลึก[ແກ້ໄຂ]
เหรียญราชินี[ແກ້ໄຂ]
thumbnail|150px|เหรียญราชินี เหรียญราชินี มีอักษรย่อว่า ส.ผ. จัดเป็นเหรียญที่ระลึกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2440 ปัจจุบันจัดเป็นเหรียญที่พ้นสมัยพระราชทาน[໕໔]
เหรียญราชินี เป็นเหรียญที่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ (พระอิสริยศในขณะนั้น) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นโดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยขณะนั้นทรงเป็นผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์ ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ในเดือนเมษายน - ธันวาคม พ.ศ. 2440
เหรียญราชินี มีชั้นเดียว เป็นเหรียญเงินรูปกลม ด้านหน้า มีพระนามาภิไธยย่อ "ส.ผ." ไขว้ ด้านหลัง มีคำว่า "พระราชทาน" อยู่ขอบเบื้องบน ขอบเบื้องล่างมีคำว่า "ร.ศ.116" ตรงกลางเป็นพื้นเงินเกลี้ยงสำหรับจารึกนามผู้ได้รับพระราชทาน
เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระชนมพรรษา[ແກ້ໄຂ]
เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2456 เป็นเหรียญที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นที่ระลึกเนื่องในวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงมีพระชนมพรรษครบ 50 พรรษา เหรียญนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า "เหรียญหมู"
อนึ่งเหรียญนี้สร้างขึ้น 2 แบบ อีกแบบหนึ่งต่างกันเฉพาะที่ข้อความที่ด้านหลัง ดังนี้ "'งานเฉลิมพระชนมพรรษา" "" "สมเด็จพระศรีพัชรินทรา" "บรมราชินีนาถ" "พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง"
ตัวเหรียญนั้นมีลักษณะ กลมแบน ขอบเรียบ มีห่วงอยู่ด้านบน ด้านหน้าเป็นรูปหมูลงยาสีชมพู ยืนแท่น หันหน้าทางซ้ายของเหรียญริมขอบมีข้อความว่า "ปีกุน พ.ศ. ๕๖ ของสิ่งนี้เป็นที่รฦก" "ว่าล่วงมาครบ ๕๐ ปีบริบูรณ์" ด้านหลังกลางเหรียญเป็นรูปจักรีริมขอบมีข้อความซ้อน 2 แถว ความว่า "ขอเชิญท่านจงจำรูปหมู่นี้ คือ เสาวภา ซึ่งอุบัติมาเป็นเพื่อน" "ร่วมชาติพบ อันมีใจหวังดีต่อท่านเสมอ"
ตัวเหรียญนั้นมีทั้งชนิด ทองคำลงยา เงินลงยา ทองคำ เงิน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 27 มิลลิเมตร[໕໕]
เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพระบรมศพ[ແກ້ໄຂ]
เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2463 เพื่อเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เหรียญนี้สร้างตามแบบพัดพระพิมานไพชยนต์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเขียนทูลเกล้าฯ ถวาย
ตัวเหรียญมีลักษณะเป็นรูปไข่ ขอบเรียบ ด้านหน้า มีคำว่า "ศรี" ภายใต้พระมหามงกุฎ หมายถึง องค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประดิษฐานบนรถพระพิมานไพชยนต์เทียมม้า 4 มีสารถีถือแส้น้ำเสด็จสู่สวรรค์ เบื้องขวาเป็นพญานาค เบื้องบนเป็นสายฟ้า (วชิระ) ซึ่งหมายถึงปีพระราชสมภพและพระราชสัญลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหลังตอนบนภายในยกขอบโค้งคล้ายใบเสมา มีพระคาถาจารึกว่า
อายุสา เอกปตฺ ตมนุรกฺ เข
เอวมฺ ปิ สพฺ พฎเตส
มานสมฺ ภาวเยอปริมาณํ"
ซึ่งแปลว่า
อันเป็นบุตรผู้เดียวด้วยชีวิตฉันใด
ภิกษุพึงบำเพ็ญเมตตาอันมีในใจ
ในภูติทั้งปวง อย่างไม่มีประมาณแม้ฉันนั้น"
ตอนล่างมีอักษรไทยอยู่ภายในพวงมาลาความว่า
ตัวเหรียญนั้นทำจากเงิน กว้าง 33 มิลลิเมตร ยาว 42 มิลลิเมตร[໕໖]
เหรียญที่ระลึก 100 ปี การพยาบาลไทย[ແກ້ໄຂ]
thumbnail|300px|ด้านหน้าและด้านหลัง เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ 100 ปี การพยาบาลไทย เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ 100 ปี การพยาบาลไทย จัดทำขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2538 เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ 100 ปี ของการพยาบาลไทย
ตัวเหรียญมีลักษณะ กลมแบน วงขอบนอกมีเฟืองจักร ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระรูปสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ บรมราชชนนีพันปีหลวง ชิดขอบเหรียญด้านซ้ายมีข้อความว่า "สมเด็จพระศรีพัชรินทรา" ด้านขวามีข้อความว่า "บรมราชินีนาถ" ด้านหลัง กลางเหรียญมีอักษรพระนามาภิไธยย่อ "สผ" ภายใต้มงกุฎขัตติยราชนารี ด้านซ้ายมีลายช่อดอกไม้และเลขบอกราคา ด้านขวามีลายช่อดอกไม้และคำว่า "บาท" ชิดวงขอบเบื้องบนมีข้อความว่า "ประเทศไทย" เบื้องล่างมีข้อความว่า "๑๒ มกราคม ๒๕๓๙" "๑๐๐ ปี การพยาบาลไทย"
ตัวเหรียญนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร น้ำหนัก 12 กรัม[໕໗]
พระเกียรติยศ[ແກ້ໄຂ]
พระอิสริยยศ[ແກ້ໄຂ]
- พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (1 มกราคม พ.ศ. 2407 — 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411)
- พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 — พ.ศ. 2421)
- พระนางเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (พ.ศ. 2421 — พ.ศ. 2422)
- พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระราชเทวี (พ.ศ. 2422 — พ.ศ. 2423)
- สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (พ.ศ. 2423 — พ.ศ. 2437)
- สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี (พ.ศ. 2437 — 4 เมษายน พ.ศ. 2440)[໘]
- สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ (4 เมษายน พ.ศ. 2440 — 4 ธันวาคม พ.ศ. 2453) [໕໘]
- สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี หรือ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (4 ธันวาคม พ.ศ. 2453 — 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462) [໕໙]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[ແກ້ໄຂ]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย[ແກ້ໄຂ]
- 80px เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
- 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
- 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐมจุลจอมเกล้า (ตำแหน่งมหาสวามินี) [໖໐]
- 80px เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ
- 80px|border เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 4 ชั้นที่ 2 (ม.ป.ร.2) [໖໑]
- 80px|border เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 1 (จ.ป.ร.1) [໖໒]
- 80px|border เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 1 (ว.ป.ร.1) [໖໓]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ[ແກ້ໄຂ]
- ແມ່ແບບ:ธง ญี่ปุ่น : เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ (พ.ศ. 2441) [໖໔]
เครื่องราชูปโภค[ແກ້ໄຂ]
- พานพระศรี (พานใส่หมากพลู) ทองคำลงยา
- กาน้ำทองคำลงยา
- ขันน้ำพระสุธารสเย็น พร้อมจอกลอยทองคำลงยา
- หีบพระศรีทองคำลงยา พร้อมพานรอง
- พระสุพรรณศรี (กระโถนเล็ก) ทองคำลงยา
- ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา พร้อมคลุมปัก
- พระฉาย (กระจกส่องหน้า) ทองคำลงยา
- พานเครื่องพระสำอาง พร้อมพระสางวงเดือน พระสางเสนียด และพระกรัณฑ์ทองคำลงยา สำหรับบรรจุเครื่องพระสำอาง
- ราวพระภูษาซับพระพักตร์ทองคำลงยารูปพญานาค พร้อมผ้าซับพระพักตร์จีบริ้วพาดที่ราว 2 ผืน
พระยศทางทหาร[ແກ້ໄຂ]
- นายพันโทหญิง ผู้บังคับการพิเศษกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร.
- ผู้บังคับกองพันทหารบกม้าที่ 6 กองพันทหารม้าที่ 6 รักษาพระองค์ (จังหวัดขอนแก่น)
- นายพันเอกหญิง (พ.ศ. 2456)
พงศาวลี[ແກ້ໄຂ]
พงศาวลีของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง[ແກ້ໄຂ]
- ↑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,คาถาพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามพระราชโอรสธิดา, โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, พ.ศ. 2472
- ↑ แสงเทียน ศรัทธาไทย, หน้า 238
- ↑ ໓.໐ ໓.໑ อุทุมพร. ๒๕๑๔. พระราชประวัติส่วนพระองค์ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรม ราชชนนี พระพันปีหลวง เล่ม ๒ กรุงเทพ : องค์การค้าคุรุสภา.
- ↑ แสงเทียน ศรัทธาไทย, สามราชินีคู่บัลลังก์ ร.๕, สำนักพิมพ์ร่มฟ้าสยาม, 2539 ISBN 978-974-7441-33-8
- ↑ แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, หม่อมราชวงศ์, พระอภิเนาว์นิเวศน์ พระราชนิเวศน์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สำนักพิมพ์มติชน, 2549 ISBN 974-323-641-4
- ↑ ໖.໐ ໖.໑ ไกรฤกษ์ นานา, ปิยมหาราชานุสรณ์ ประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกบันทึก, นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับปีที่ 29 ฉบับที่ 6 เมษายน 2551 หน้า1 06-125
- ↑ จิรวัฒน์ อุตตมะกุล, พระภรรยาเจ้าและสมเด็จเจ้าฟ้า ในรัชกาลที่ 5, สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งที่ 4, 2550 ISBN 974-02-0038-3
- ↑ ໘.໐ ໘.໑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ ออกพระนามพระชนนีแห่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (ให้ใช้บัตรหมายออกพระนามว่า สมเด็จพระนางเจ้าพรอรรคราชเทวี), เล่ม ๑๒, ตอน ๒๔, ๑๕ กันยายน ร.ศ. ๑๑๔, หน้า ๒๑๑-๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศในการที่ออกพระนามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ, เล่ม ๑๔, ตอน ๑, ๔ เมษายน พ.ศ. ๑๘๙๗, หน้า ๑๐
- ↑ พระบรมราชินีนาถ 2 พระองค์ในประเทศไทย หน้า 38
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธย, เล่ม ๒๗, ตอน ๐ง, ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓, หน้า ๒๐๒๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชพิธี คำถวายชัยมงคลของข้าทูลละอองธุลีพระบาท แด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง, เล่ม ๓๒, ตอน ง, ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘, หน้า ๒๓๙๒
- ↑ เล็ก พงษ์สมัครไทย, วาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จอมพล สมเด็จฯเจ้าฟ้าฯกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ, นิตยสารต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่ 395 เดือนมกราคม 2551 หน้า 91-98
- ↑ จิรวัฒน์ อุตตมะกุล, พระภรรยาเจ้าและสมเด็จเจ้าฟ้า ในรัชกาลที่ 5, สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งที่ 4, 2550 ISBN 974-02-0038-3
- ↑ ศกุลรัตน์ ธาราศักดิ์, ราชสำนักสยาม ในทรรศนะของหมอสมิธ, กรมศิลปากร, พิมพ์ครั้งที่ 1, 2537 ISBN 974-419-035-3
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, เล่ม 27, ตอน 0ง, 30 ตุลาคม พ.ศ. 2453, หน้า 1782
- ↑ วิบูล วิจิตรวาทการ, เล่าเรื่องเมืองสยาม ในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง, พิมพ์ครั้งที่ 1 : 2546 ISBN 9743412204
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระอาการสวรรคตแห่งสมเด็จพระพันปีหลวง, เล่ม ๓๖, ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๒, หน้า ๒๐๖๙
- ↑ ตำนานสุสานหลวง หน้า 32
- ↑ ໒໐.໐ ໒໐.໑ ໒໐.໒ ໒໐.໓ ໒໐.໔ ໒໐.໕ ໒໐.໖ ໒໐.໗ ໒໐.໘ อุทุมพร. ๒๕๑๔. พระราชประวัติส่วนพระองค์ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง เล่ม ๑ กรุงเทพ : องค์การค้าคุรุสภา.
- ↑ กองพันทหารม้าที่ ๖. ม.ป.ป. จดหมายเหตุ (๒๕๓๗ – ๒๕๔๖). ขอนแก่น.
- ↑ กองพันทหารม้าที่ ๖. ๒๕๔๖.เอกสารประวัติศาสตร์ ๑๐๐ ปี กองพันทหารม้าที่ ๖. ขอนแก่น.
- ↑ ໒໓.໐ ໒໓.໑ ໒໓.໒ อุทุมพร. ๒๕๑๔. พระราชประวัติส่วนพระองค์ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง เล่ม ๓ กรุงเทพ : องค์การค้าคุรุสภา.
- ↑ ส.พลายน้อย. ม.ป.ป. พระบรมราชินีนาถและเจ้าจอมมารดา. กรุงเทพฯ : รวมสาส์น.
- ↑ ແມ່ແບບ:อ้างหนังสือ
- ↑ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย :: WATTANA WITTAYA ACADEMY
- ↑ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. หอมติดกระดาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ:มติชน. 2553, หน้า 94
- ↑ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. หอมติดกระดาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ:มติชน. 2553, หน้า 96
- ↑ อุทุมพร วีระไวทยะ. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หน้า 83
- ↑ ศึกษาธิการ, กระทรวง.ท 606 วรรณลักษณวิจารณ์ 2, ขัติยพันธกรณี
- ↑ วิลาวัณย์ สถิตย์วงศ์. ม.ป.ป. ๗๒ ปี จอมสุรางค์อุปถัมภ์. ม.ป.ท.
- ↑ เวสีนา เสนีวงศ์ฯ. ๒๕๔๑. เสาวภาผ่องศรี. กรุงเทพฯ : บางกอกบุ๊ค.
- ↑ พระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชทานแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง ในเวลาที่ทรงสำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์เมื่อเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. 2440 ภาค 2 / จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2396-2453
- ↑ คณะแพทย์ศาสตร์ มข.วันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
- ↑ ประวัติสภากาชาดไทย จากเว็บไซต์สภากาชาดไทย
- ↑ คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
- ↑ พระราชประวัติ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
- ↑ พลตรีบัญชร ชวาลศิลป์. ๒๕๔๑. ครบรอบ ๑๑๑ ปี โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : บริษัท มังกรการพิมพ์ (๑๙๙๔) จำกัด.
- ↑ พันเอกชูชัย สินไชย. ๒๕๒๒. เกียรติประวัติการรบดีเด่น ร.อ. กมล สาคุณ. ขอนแก่น.
- ↑ กระทรวงกลาโหม. ๒๕๔๓. วันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ๑๑๓ ปี. กรุงเทพฯ : บริษัท ต้นอ้อ จำกัด.
- ↑ บุษบงกช สาคุณ. ๒๕๓๙. อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ พลตรี กมล สาคุณ ปช.ปม. กรุงเทพฯ : หจก.อรุณการพิมพ์.
- ↑ ประวัติศาสตร์การแพทย์และเภสัช (ภูมิหลังการแพทย์และเภสัชสากล)
- ↑ พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่เจ้าดารารัศมี
- ↑ พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับลงวันที่ 11 สิงหาคม ร.ศ. 128
- ↑ อุทุมพร วีระไวทยะ. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หน้า 105
- ↑ ໔໖.໐ ໔໖.໑ ประวัติโรงเรียนวิเชียรมาตุ จากเว็บไซต์โรงเรียนวิเชียรมาตุ
- ↑ แถลงข่าวการก่อสร้าง พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
- ↑ พิธีอัญเชิญพระรูปสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถประดิษฐาน ณ พระราชานุสาวรีย์
- ↑ อุทุมพร วีระไวทยะ. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หน้า 60
- ↑ ประวัติโรงเรียน จากเว็บไซต์โรงเรียนราชินีบูรณะ
- ↑ โรงเรียนราชินีบูรณะ - กรมศิลปากร
- ↑ ชมรมศิษย์เก่าหัตถกรรมเสาวภา ประวัติวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา
- ↑ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา ประวัติวิทยาลัย
- ↑ เครื่องราชชอิสริยาภรณ์ไทย เหรียญราชินี โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- ↑ เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากเว็บไซต์พิพิธภัณฑ์เหรียญที่ระลึกไทย
- ↑ [เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง] จากเว็บไซต์พิพิธภัณฑ์เหรียญที่ระลึกไทย
- ↑ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ 100 ปี การพยาบาลไทย จากเว็บไซต์กรมธนารักษ์
- ↑ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน. ๒๕๓๘. เรื่องเฉลิมพระยศเจ้านายะบับมีพระรูป. 923.1 พ326ร : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
- ↑ สมคิด โชติกวณิชย์. ๒๕๓๘. เรื่องเฉลิมพระยศเจ้านาย เล่ม ๒ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม). พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ทรงตั้งมหาสวามินีเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้าฝ่ายใน, เล่ม ๑๐, ตอน ๓๐, ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖, หน้า ๓๒๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ ฝ่ายใน, เล่ม ๒๑, ตอน ๓๒, ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๗, หน้า ๕๗๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ ฝ่ายหน้า และฝ่ายใน, เล่ม ๑๘, ตอน ๔๖, ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔, หน้า ๘๗๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลปัจจุบันฝ่ายใน, เล่ม ๒๘, ตอน ๐ ง, ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔, หน้า ๑๓๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, เสด็จออกแขกเมืองต่างประเทศ อุปทูตญี่ปุ่น, เล่ม ๑๕, คอน ๒๔, ๑๑ กันยายน ค.ศ.๑๘๙๘, หน้า ๒๕๙
หนังสือ[ແກ້ໄຂ]
- อุทุมพร สุนทรเวช, สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี, นำอักษรการพิมพ์, 2540 ISBN 974-7060-32-9
- จิรวัฒน์ อุตตมะกุล, สมเด็จพระภรรยาเจ้าและสมเด็จเจ้าฟ้าในรัชกาลที่ ๕, มติชน, 2546 ISBN 974-322-964-7
- แสงเทียน ศรัทธาไทย, สามราชินีคู่บัลลังก์ ร.๕, สำนักพิมพ์ร่มฟ้าสยาม, 2539 ISBN 974-91483-0-4
- พิมาน แจ่มจรัส, รักในราชสำนัก, โอเดียนการพิมพ์, 2510 ISBN 974-341-064-3
ແຫຼ່ງຂໍ້ມູນ[ແກ້ໄຂ]
ກ່ອນໜ້າ | ສົມເດັດພະສີພັດຊະຣິນທາບໍລົມລາຊິນີນາດ ພະບໍລົມລາຊະຊົນນະນີພັນປີຫຼວງ | ຖັດໄປ | ||
---|---|---|---|---|
ສົມເດັດພະເທບສິລິນທາບໍລົມລາຊິນີ | ![]() |
![]() ພະບໍລົມລາຊິນີແຫ່ງລາຊະອານາຈັກສະຫຍາມ (4 เมษายน พ.ศ. 2440 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) |
![]() |
ສົມເດັດພະນາງເຈົ້າອິນທະຣະສັກສະຈີ ພະວໍລະລາຊະຊາຍາ |
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) | ![]() |
![]() ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (พ.ศ. 2440) |
![]() |
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร |
ແມ່ແບບ:พระมเหสีในรัชกาลที่ 5
ແມ່ແບບ:พระราชธิดาราชวงศ์จักรี
ແມ່ແບບ:พระมเหสีราชวงศ์จักรี
ແມ່ແບບ:ชาวไทยยูเนสโก
ອ້າງອິງ[ແກ້ໄຂ]
1.ประวัติศาสตร์ ตำนาน เรื่องเล่าขาน สารคดี บุคคลสำคัญ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง
2.ราชกิจจานุเบกษา, บรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาพระอิสริยศเฉลิมพระอภิไธยและเลื่อนกรมพระราชวงศ์, เล่ม ๔๒, ตอน ๐ก, วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘, หน้า ๓๗๒
- Pages using ISBN magic links
- พระราชธิดาในรัชกาลที่ 4
- พระภรรยาในรัชกาลที่ 5
- ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทย
- สมเด็จพระบรมราชินีนาถของไทย
- สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง
- ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่เป็นสตรี
- สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก. (ฝ่ายใน)
- สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ น.ร.
- สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.จ. (ฝ่ายใน)
- สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ว.ม.
- สมาชิกเหรียญรัตนาภรณ์ ม.ป.ร.2
- สมาชิกเหรียญรัตนาภรณ์ จ.ป.ร.1
- สมาชิกเหรียญรัตนาภรณ์ ว.ป.ร.1
- เสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้
- สมาชิกกองเสือป่า
- ບຸກຄົນທີ່ເກີດໃນປີ ຄ.ສ. 1863
- ບຸກຄົນທີ່ເສຍຊີວິດໃນປີ ຄ.ສ. 1919
- ພະລາຊະທິດາໃນລັດຊະການທີ່ 4
- ພະພັນລະຍາໃນລັດຊະການທີ່ 5
- ຜູ້ສຳເລັດລາຊະການແທນພະອົງຂອງໄທ
- ສົມເດັດພະບໍລົມລາຊິນີໄທ
- ພະລາດຊະວົງໄທ
- ຊາວໄທ
- ສະມາຊິກເຄື່ອງລາດອິສະລິຍາພອນ ມ.ຈ.ກ. (ຝ່າຍໃນ)
- ສະມາຊິກເຄື່ອງລາດອິສະລິຍາພອນ ນ.ຣ.
- ສະມາຊິກເຄື່ອງລາດອິສະລິຍາພອນ ປ.ຈ. (ຝ່າຍໃນ)
- ສະມາຊິກເຄື່ອງລາດອິສະລິຍາພອນ ມ.ວ.ມ.
- ສະມາຊິກເຄື່ອງລາດອິສະລິຍາພອນ ມ.ປ.ຣ.2
- ສະມາຊິກເຄື່ອງລາດອິສະລິຍາພອນ ຈ.ປ.ຣ.1
- ສະມາຊິກຫຼຽນລັດຕະນາພອນ ວ.ປ.ຣ.1
- ເສຍຊີວິດຈາກມະເລັງລຳໃສ້
- ສະມາຊິກກອງເສືອປ່າ
- ບຸກຄົນທີ່ເສຍຊີວິດແລ້ວ